บอน Bon
“น้ำกลิ้งบนใบบอน”หรือ “ปากบอน”อ่านแล้วบอกถึงลักษณะของบอนได้
ใบบอนมีลักษณะพิเศษ ไม่เปียกน้ำ เพราะมีไขผึ้งเคลือบอยู่
น้ำที่อยู่บนใบบอนมักจะรวมกันเป็นหยดน้ำ และเมื่อก้านบอนยาว ๆ ถูกลมพัดน้ำในใบบอนก็จะกลิ้งไปมาอยู่ตลอดเวลา
ใบบอนที่ขึ้นอยู่ยังไม่ตัดมาลอกเปลือกเตรียมแกงโดนแล้วคัน จึงเปรียบกันว่าคนชอบจ้อ
ชอบเล่าเรื่องขยายความใส่ไข่ ใส่สี เป็นคนปากบอน คือปากคันยิบ ๆ
คอยจะขยับปากเล่าเรื่องต่าง ๆ
บอนเป็นพืชที่ชอบขึ้นอยู่ริมน้ำที่แฉะ ๆ
ขึ้นเป็นกอ ๆ กอละ 7-8 ใบ ใบสีเขียวหลังใบจะมีสีขาวนวล ใบคล้ายรูปหัวใจ
บอนที่มีอยู่ในบ้านเรานอกจากจะมีบอนคันแล้วยังมีบอนที่คันน้อยกว่า
สังเกตความแตกต่างจากใบ และต้นของบอนหวานจะมีสีเขียวสด หรือเขียวคล้ำ
ไม่มีนวลเคลือบที่ก้านใบ แต่ถ้าบอนคันใบจะมีสีเขียวนวลและมีนวลเคลือบที่ก้านใบ
หรืออาจลองใช้มีดตัดก้านบอนทิ้งไว้สัก 5 นาที ถ้าบอนคันเป็นสีเขียวน้ำเงิน
แต่ถ้าเป็นบอนหวานจะไม่มีสี หรืออาจเอาก้านใบทาหลังมือไว้ 2-3 นาที
ถ้ามีอาการคันแสดงว่าเป็นบอนคัน
การน้ำบอนมารับประทานควรทดสอบให้แน่ใจว่าเป็นบอนคันหรือบอนหวาน
เพราะว่าจะช่วยการกินบอนอร่อยอย่างปลอดภัย
สิ่งที่ทำให้บอนคันเนื่องจากมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลต (calcium
oxalate) ซึ่งจะทำให้ลิ้น ทางเดินอาหาร และผิวหนังเกิดการระคายเคืองได้
ดังนั้นการปรุงอาหารจึงต้องมีเทคนิคพิเศษ บอนก็เหมือนความรัก
รักแท้ย่อมมีความลำบากเป็นสิ่งพิสูจน์กินบอนลำบากเพียงนิด แต่มีอาหารผักดี ๆ
เป็นผลตอบแทน
การนำบอนมาปรุงอาหารจะใช้ก้านใบ
และใบอ่อนซึ่งจะต้องลอกผิวชองก้านใบก่อน ซึ่งอาจสวมถุงมือ หรือถุงพลาสติกที่มือก่อน
เพราะจะช่วยไม่ให้คันแล้ว ยังช่วยไม่ให้มือดำจากยางของบอนอีกด้วย
ตอนเด็กคุณแม่เคยให้ปอกบอนแกง โชคดีที่บอนที่บ้านเป็นบอนหวาน เลยไม่คัน
แต่มือดำน่าเกลียดไปหลายวันทีเดียว
บอนเป็นผักที่ไม่นิยมกินดิบ
ซึ่งเป็นเพราะว่า บอนกินดิบแล้วคัน แต่ถ้าทำให้สุกแล้วจะไม่คัน ในการปรุงแกงบอนจึงต้องต้มหรือเคี่ยวให้นาน
ๆ หรืออาจจะใส่มะขามเปียกหรือสิ่งที่มีรสเปรี้ยวลงไป
เพื่อให้ผลึกของแคลเซียมออกซาเลตแตกออก แต่ถ้าสมัยใหม่อาจใช้เบคกิ้งโซดาซึ่งจะช่วยลดความคันลงได้
แม่ครัวสมัยก่อนมักจะบอกว่าเวลาแกงบอนห้ามพูดถึงสิ่งที่คันเด็ดขาดเพราะจะทำให้แกงบอนคัน
แต่ถ้าโชคดีถ้าเจอบอนหวานก็ไม่ต้องยุ่งยากในการแกงมากนัก
และไม่เจอกับความคันจากการเตรียมบอน
สำหรับการแกงบอนนั้น
ถ้าเคี่ยวไม่นานจนบอนเละก็จะรู้สึกว่าไม่อร่อย
น้ำแกงไม่ซึมเข้าไปในเนื้อบอนมีหลายคนที่ไม่กล้ากินแกงบอนเพราะกลัวคัน
เลยพลาดความเนียนอร่อยของบอน
แกงบอนส่วนมากจะเป็นแกงส้มบอน
ปรุงให้รสชาติออกหวานนำ แกงกับปลาสดหรือปลาแห้ง ใส่กระชายในพริกแกงด้วยสักหน่อย
เคี่ยวจนบอนเละ ใส่ใบมะกรูด หรืออาจใช้น้ำมะกรูดแทนน้ำมะขามเปียก
กลิ่นใบมะกรูดอ่อน หวานนิด ๆ เนื้อบอนนุ่ม ๆ ถ้าใครลองได้กินแล้วจะติดใจ หรืออาจจะเป็นแกงกะทิก็อร่อยไม่แพ้กันถ้าเป็นตามต่างจังหวัดในแถบภาคกลางเมื่อมีงานบุญ
เช่น งานบวช ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า แกงอย่าง หนึ่งที่แม่ครัวจะเลือกก็คือแกงบอน
และคนที่ไปช่วยงานส่วนใหญ่ก็จะต้องรอชิมแกงบอน เพราะถ้าแกงบอนอร่อย ไม่คัน
กับข้าวชนิดอื่น ๆ ที่ตามมารับรองอร่อย
แกงบอนก็จัดเป็นแกงพิสูจน์ฝีมือแม่ครัวอีกอย่างหนึ่งนอกจากหมี่กรอบ
บอนนอกจากนำมาแกงแล้วบางที่ยังเอามาดองด้วย โดยเอาบอนมาขยำกับเกลือให้ยางออกก่อน
แล้วจึงดองเอาไว้จิ้มน้ำพริกกิน บอนเป็นอาหารต้องห้ามของคนท้อง ตามความเชื่อของคนสมัยก่อนที่เชื่อว่าบอนจะทำให้สายรกเปื่อย
นอกจากบอนแล้วยังมีผักอีกชนิดหนึ่งที่ลักษณะคล้าย ๆ บอน และอยู่ในวงศ์ Araceae
เหมือนกันนั่น คือ คูน หรือทูน
ขึ้นในดินทั่วไปไม่ขึ้นริมน้ำเหมือนบอนมีหัวอยู่ใต้ดินเหมือนเผือก
ก้านใบยาวผิวของก้านใบจะมีนวลเคลือบอยู่ มองดูแล้วเป็นสีขาวนวล
ใบเป็นรูปไข่ปลายใบมน สีเขียวอ่อน ซึ่งสังเกตว่าใบคูณจะมีสีโปร่งและใบมันกว่าใบบอน
ถ้าสังเกตดูลักษณะของก้านใบแล้วคูนจะมีช่องอากาศภายในใหญ่กว่าบอน
แล้วเนื้อจะแข็งกว่า คูนจะมี 2 ชนิดคือคูนขาว และคูนดำ ซึ่งมีสีเขียวเข้มกว่า และก้านใบจะมีสีม่วงเข้ม
ทางใต้จะเรียกคูนว่า ออดิบ
มีพืชอีกชนิดหนึ่งชื่อโทราบอน
ที่มีลักษณะคล้ายคูน แต่ต่างกันที่ยางของโทราจะมีสีส้มอ่อน ยางของคูนจะใส
ถ้ากินโทราเข้าไปจะทำให้คันลิ้น
ชาวบ้านมักปลูกคูนในบ้าน เคยไปเห็นบ้านหนึ่งที่เชิงภูหลวง
จังหวัดเลย เขาปลูกคูนไว้หน้าบ้านเป็นแถวเหมือนปลูกว่าน พอเห็นแล้วก็รู้สึกสนใจ
แปลกดี เลยเข้าไปถามว่าต้นอะไร สวยดี ลุงแกก็บอกว่า “ทูน” และยังแถมสรรพคุณอีกมากมาย “ทูนเอามาจิ้มน้ำพริกปลาร้าอร่อยดี กรอบ ๆ ไม่คันเหมือนบอน
ก่อนกินก็ลอกเปลือกออกก่อน หรือจะเอาไปแกงส้ม แกงแค กินกันลาบ ส้มตำก็ได้
ในตลาดหากินยาก ถ้าต้นมันเหี่ยว ตายไปก็ไม่เป็นไร
พอหน้าฝนหรือรดน้ำให้มันสักหน่อยก็งอกขึ้นมาใหม่ ถ้ามันแตกกอเยอะเกินก็ถอนทิ้ง
หรือแยกไปปลูกก็ได้ เพราะถ้าปล่อยให้แน่นเกินต้นจะเล็ก
หัวทูนเขาจะไม่เอามากินกันแต่จะใช้เป็นยารักษาแผล รักษาฝ้า ถ้าเอามาฝนกับน้ำผึ้งกินเข้าไป
ก็ช่วยขับเสมหะได้ดีทีเดียว”
ทั้งบอน คูน และเผือก
ก็เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์เดียวกันแต่การจะนำมากินก็ต้องสังเกตให้ดี
หรือถามจากแม่ค้าไท้แน่ใจเสียก่อน เพื่อความอร่อยอย่างปลอดภัย แต่ถ้าจะหากินในกรุงเทพฯ
ก็อาจจะหากินยากสักหน่อย ถ้ามีโอกาสไปต่างจังหวัดหรือได้พบเห็นแกงบอน
แกงคูนเมื่อไหร่ก็อย่ารอช้าลองสัมผัสความอร่อย และความแปลกใหม่ดูบ้าง
เพื่อครั้งหนึ่งในชีวิต
ชื่อผัก
: บอน บอนน้ำ บอนเขียว
ชื่อวิทยาศาสตร์
:
Colocasia esculenta Schott.
ชื่อผัก
:
คูน,ทูน
ชื่อวิทยาศาสตร์
:
Colocasia gigantea Hook.f.
วงศ์
:
Araceae
ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100
กรัม
|
||||
พลังงาน
|
โปรตีน
|
ไขมัน
|
คาร์โบไฮเดรต
|
|
กิโลแคลอรี
|
กรัม
|
|||
บอน
|
15
|
0.6
|
0
|
3.2
|
คูน
|
9
|
0.5
|
0.1
|
1.5
|
ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100
กรัม
|
||||||
แคลเซียม
|
ฟอสฟอรัส
|
เหล็ก
|
วิตามินบี1
|
วิตามินบี2
|
ไนอาซิน
|
วิตามินซี
|
มิลลิกรัม
|
||||||
36.00
|
16
|
0.7
|
0.01
|
0.02
|
0
|
10
|
115
|
30
|
1.3
|
0.03
|
0.01
|
0.4
|
6
|
ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100
กรัม
|
|
เบต้า-แคโรทีน
|
ใยอาหาร
|
RE
|
กรัม
|
0.75*
|
-
|
6.14*
|
-
|
กองโภชนาการ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย. 2535.
*
วิเคราะห์โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
RE
ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
-ไม่มีการวิเคราะห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น