หน้าร้อนเป็นเวลาที่นักกินบางคนรอคอยใครที่ชอบกินผักหวานป่าพอถึงหน้านี้ของปีเป็นได้ไปเดินมองหาผักเขียวที่ชาวบ้านมักมัดเป็นกำ
ลำเลียงลงตะกร้ายกมาขาย
ยอดผักหวานเขียวสวยกับตะกร้าไม้ไผ่ดูเข้ากันเป็นกิ่งทองใบหยก
อาหารการกินเป็นศาสตร์และศิลป์ ที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาของคนไทย อาหารบางอย่าง
มีสรรพคุณเป็นยา อาหารบางอย่างจะแนะนำให้กินในช่วงฤดู อย่างเช่น แกงส้มดอกแค
จะแนะนำให้กินในช่วงอากาศเปลี่ยนฤดู เพราะจะช่วยรักษาอาการหวัดได้ นอกจากนั้นผักที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ
ที่เราเรียกว่าผักพื้นบ้าน นอกจากนั้นจะมีมากในบางฤดู กินอร่อยในบางฤดูเช่นกัน
บางครั้งนึกอยากกินขึ้นมาผิดจังหวะ ก็คงต้องผิดหวังกันบ้างแหละ
ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนที่เกือบจะย่างกรายเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างนี้
จะแนะนำผักพื้นบ้านที่มีในหน้าร้อน เราเรียกกันว่าผักหวาน
ถ้าจะให้ไม่ผิดเพี้ยนก็ควรจะเรียกว่า ผักหวานป่า ผักที่แตกยอดเขียวสดใส
ที่ต้องเรียกผักหวานป่า ก็เพราะยังมีผักหวานบ้านอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน
ชื่อของผักหวานป่านี้มีที่มาเพราะ เป็นไม้ยืนต้นที่อยู่ในป่า ประเภทป่าผลัดใบอย่างเช่น ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณที่มีร่มเงาพอสมควรไม่ร่มจนเกินไป
และไม่ร้อนจนเกินไปเป็นผักที่มีนิยามเฉพาะตัวว่าไม่ชอบแดดจัด ไม่ชอบน้ำมาก
ขึ้นได้ในที่ดอน ในดินดาน หรือ ดินปนทราย ทนแล้ง จึงทำให้เราพบผักหวานได้ในป่าเสื่อมโทรมด้วย
ผักหวานเป็นผักที่หากินได้ง่ายในพื้นที่รอบๆ บริเวณป่า แต่ราคาของผักหวานช่วงที่ออกใหม่ๆประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ราคาแพงถึง
250
บาทต่อกิโลกรัม แต่ช่วงที่มีมากก็เหลือ 50-60 บาท
ผักหวานเป็นผักพื้นบ้านที่มีราคาแพงกว่าผักเมืองจีนเสียอีก
ปัจจุบันชาวบ้านปลูกผักหวานป่าไว้เ พื่อเก็บยอดขายกันมากขึ้น หน่วยงานรัฐบาล เช่นสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ก็ได้มีการส่งเสริมและอนุรักษ์ผักพื้นบ้านขึ้น ซึ่งผักหวานป่า ก็เป็นชนิดหนึ่งที่ได้รับการส่งเสริม
และให้สมยานามว่า “ผักหวานป่า
ผักเพื่ออนาคต” ซึ่งมีการแนะนำให้ปลูกแซมในสวนสัก สวนทุเรียน
สวนมะพร้าว เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ชาวสวนมีรายได้เพิ่มขึ้น
จึงมักพบผักหวานป่าตามตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดตามต่างจังหวัดในตอนเช้าๆ
ชาวเมืองทั้งหลายก็จะได้รู้จัก และได้ลิ้มรสผักพื้นบ้านชนิดนี้กันอย่างแพร่หลาย
สำหรับชาวกรุงเทพฯ ลองเดินหาตามตลาดเทเวศร์ ตลาดนัดสวนจตุจักร หรือตลาดท่าน้ำนนท์
ก็อาจจะได้ผักหวานป่ามาลองชิมกัน การปลูกผักหวานก็จะมีทั้งการใช้เมล็ด ซึ่งผักหวานจะออกลูกเป็นพวง เมื่อสุกจะมีสีเหลืองมองดูแล้วคล้ายพวงมะไฟนอกจากการเพาะเมล็ดแล้วก็อาจจะใช้การตอนกิ่ง
การเพาะชำราก แต่ 2
วิธีหลังนี้จะใช้เวลานานประมาณ 4
เดือนและเปอร์เซ็นต์การออกรากต่ำมาก
ในการเก็บผักหวานของชาวบ้านต้องมีการตัดกิ่งแขนงทิ้ง
และรูดใบแก่ๆ ออก แล้วให้น้ำพอให้ดินชื้น ผักหวานจะแตกยอดใหม่
หรือถ้าในธรรมชาติยอดผักหวานก็จะแตกยอดหลังมีการเผาป่ากัน
ส่วนของผักหวานที่นำมากินได้แก่ ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน แต่ที่ขายในตลาดจะเห็นเป็นยอดอ่อนและใบอ่อนใบเป็นรูปไข่
ผิวใบสีเขียวสดมัน ใบกรอบเปราะ มีขายมากในช่วงปลายกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม
ถ้าเป็นคนที่เคยรับประทานมักจะติดใจในรสชาติของผักหวาน เพราะมีรสหวานสมชื่อ
เอามาปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น แกงเลียง บะช่อหมูสับ แกงส้มผักหวาน
แต่ทางภาคอีสานมักจะแกงใส่ไข่มดแดง ผักหวานพอสุกแล้วจะนิ่มแต่ไม่เละ
คุณแม่เคยบอกว่าผักหวานเมื่อโดนน้ำฝนแล้วเขาจะไม่กินกัน
เพราะมีสารบางอย่างเมื่อกินแล้วจะทำให้เมาได้
อาจเป็นเพราะว่ามีผักอีกชนิดหนึ่งที่มีพิษลักษณะคล้ายผักหวาน ใบเป็นรูปรี
ผิวใบด้าน เนื้อใบเหนียว ที่ชาวบ้านเรียกว่าผักหวานเมา หรือเสน พอเริ่มเข้าหน้าฝน
ผักหวานก็จะหายไปจากท้องตลาดเหมือนกัน นี่แหละที่ให้ชื่อผักหวานว่าเป็นผักหน้าร้อน
ผู้อ่านอาจจะคิดว่า หากินก็ยาก
ราคาก็แพง กินผิดก็เป็นอันตราย ไม่กินเสียดีกว่า แต่ถ้าได้ลองกินท่านก็จะได้หลุดพ้นจากความจำเจของผักประจำเมนูที่ซ้ำซาก
แต่ที่แน่ๆ
ผักหวานป่าเป็นผักที่ปลอดภัยจากสารพิษ เป็นผักธรรมชาติที่คนเราใฝ่หาชนิดหนึ่งที่เดียวและเป็นผักที่ให้โปรตีน
มีวิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด เช่น เบต้า-แคโรทีน
วิตามินซี และวิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน ซึ่งบางคนจะเรียกว่าวิตามินลดความอ้วน
เพราะว่าวิตามินบี 2 จะมีส่วนสำคัญในการช่วยเผาผลาญกรดอะมิโนจาก
โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ให้ไปเป็นพลังงานสำหรับร่างกาย
สำหรับผู้ที่ขาดวิตามินบี 2 ก็จะทำให้เป็นโรคปากนกกระจอก
ซึ่งบางคนทั่วไปมักจะเข้าใจผิดว่า ถูกยางผลไม้กัดปาก
หรือถ้าขาดในวัยเด็กก็จะทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงักกลายเป็นเด็กแคระไปได้
ในผักหวานป่า 1 ขีด จะมีวิตามินบี 2
อยู่ประมาณ 1.65 มิลลิกรัม
คงจะเห็นว่าผักหวานป่าให้วิตามินนี้มากทีเดียว
และที่สำคัญวิตามินลดความอ้วนตัวนี้ยังทนความร้อนในการหุงต้มเสียด้วย
ถึงแม้จะแกงส้มต้มแกง วิตามินตัวนี้ก็ยังคงอยู่แต่อาจจะน้อยกว่าผักหวานสดเล็กน้อย
นอกจากใบผักหวานป่า ที่เป็นอาหารที่มีคุณค่าแล้ว รากผักหวานป่าก็ยังใช้เป็นยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณ ช่วย ถอนพิษ แก้พิษร้อน
กระสับกระส่าย แก้น้ำดีพิการได้
ชาวบ้านที่เก็บผักหวานเป็นผู้ที่รู้จักต้นผักหวานป่านี้เป็นอย่างดี
เพราะปีหนึ่งผักหวานป่าเป็นที่มาของรายได้มากพอสมควร
ไม่ใช่เพราะการประโคมการกินผักหวานตามๆ กันไป
แต่เป็นเพราะรสชาติที่ดีของผักนี้ที่ทำให้ผู้ที่เคยได้ลิ้มรสแล้วเป็นต้องถวิลหาเมื่อหน้าร้อนมาเยือน
ถ้ามีการปลูกป่ากันก็น่าจะให้ผักหวานได้มีโอกาส
คืนสู่ป่าอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เป็นผักประดับป่า เอาไว้ให้คนรุ่นหลังรู้จักมากขึ้น
และสร้างให้ป่าเป็นแหล่งอาหารของคนเราตลอดไป
ชื่อผัก ผักหวานป่า, ผักหวาน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Melientha
suavis Pierre.
วงศ์ Opiliaceae
ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม
|
|||
พลังงาน
|
โปรตีน
|
ไขมัน
|
คาร์โบไฮเดรต
|
แคลอรี
|
กรัม
|
||
39
|
0.1
|
0.6
|
8.3
|
ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม
|
||||||
แคลเซียม
|
ฟอสฟอรัส
|
เหล็ก
|
วิตามินบี1
|
วิตามินบี2
|
ไนอาซีน
|
วิตามินซี
|
มิลลิกรัม
|
||||||
24
|
68
|
1.3
|
0.12
|
1.65
|
3.6
|
168
|
ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม
|
|
เบต้า-แคโรทีน
|
ใยอาหาร
|
RE
|
กรัม
|
516.33*
|
กองโภชนาการ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย 2535
*วิเคราะห์โดยสาถาบันวิจัยโภชนาการ
มหาวิทยาลัยมหิดล
RE
ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
-ไม่มีการวิเคราะห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น