บนบาทวิถีริมถนนบางสาย
มีบางครั้งที่เราจะได้เห็นบางสิ่งที่ผิดแผกลิบลับจากสรรพสิ่งบนรายทาง ท่ามกลางละอองฝุ่น รองเท้าหลากสีหลายทรงสารพัดกลิ่น และเศษขยะน้อยใหญ่ บางที่มีกระทงใบตองเล็กๆ เรียงเป็นกลุ่มในถาดวางสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ริมทาง ในกระทงมีดอกไม้เล็กๆกลิ่นหอมชื่นใจ สีเขียวออกนวลบรรจุอยู่พอดีกระทง
นี่ละ….ดอกขจร
อาจเป็นด้วยความสงบบรรจง และขนาดดอกเล็กกระจ้อยร่อย
ทำให้มีแม่ค้าแม่ขายเมตตาเจียนใบตองมาเย็บกระทงขนาดเล็กกว่าฝ่ามือไว้ให้เป็นที่อยู่แก่ดอกขจรเสมอ หรือไม่อีกที
เมื่อดอกขจรอยู่เป็นที่เป็นทางแบบนี้ชะรอยจะดูเชิญชวนให้ซื้อหา และไม่ชอกช้ำง่าย ที่แน่ๆแม่ค้าทั้งย่านท่าช้าง ท่าพระจันทร์
หรือแม้แต่แม่ค้าตลาด อ.ต.ก.ต่างก็ยึดธรรมเนียมหากระทงใบตองสดมาใส่ดอกขจรกันทั่ว
ครั้งยังอยู่บนต้น ดอกขจรเป็นดอกไม้เล็กๆ ที่น่าทะนุถนอม ยามบานเต็มที่กลีบแข็งๆ ฉาบใยนวลตอง
ทั้ง 5 แผ่ออกกว้าง และมีสีเหลืองแผ่ซ่าน จัดจ้านขึ้นลำดับ พร้อมส่งกลิ่นหอมเย็นคล้ายใบเตยหรือชมนาดในยามสนธยา
ขจรไม้เลื้อย
ใบรูปร่างคล้ายหัวใจสีเขียวอมแดง
ยอดจะเลื้อยเกาะพันตามหลักหรือร้าน
จนเป็นซุ้มร่มรื่น
ดอกขจรสวยจนคนภาคเหนือ ซึ่งเรียกว่าพรรณไม้นี้ว่า “ผักสลิด”
นิยมเด็ดดอกขจรที่ระย้าเป็นพวงคล้ายอุบะไปใช้ถวายพระ และร้อยเป็นพวงมาลัยสวมศีรษะ
ทั้งที่ขจรเป็นพรรณไม้ของทวีปเอเชียที่พบได้ทั้งในป่า และตามบ้านเรือนทั่วไปในอินเดีย จีน
ไทย และประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร
แต่ด้วยเสน่ห์ความสวยหอมทำให้ต้นขจรขจรไกลไปถึงทวีปยุโรป ในฐานะไม้เถาประดับซุ้มตามบ้าน
ลูกขจรรูปร่างละม้ายคล้ายฝักนุ่นทั้งภายนอกและภายใน แต่มีขนาดเล็ก
และปลายฝักแหลมกว่ามาก
ยามแก่จัดจะแตกให้เมล็ดดีดตัวออกไปพร้อมปุยสีขาว ลอยละลิ่วไปแสวงหาที่เติบโตเป็นต้นใหม่ได้ไกลๆ ซึ่งเป็นได้ทั้งป่าดิบแล้งป่าละเมาะ หรือบริเวณบ้านเรือน
ขจรเป็นพืชที่คนไทยคุ้นเคยมานาน คนโบราณนำรากขจรมาใช้ทำยาแก้โรคภัยไข้เจ็บได้หลายขนาน
เช่นยาหยอดรักษาโรคตา แก้พิษเบื่อเมา กระตุ้นให้รู้รสอาหารดีขึ้น และใช้เป็นสารทำให้อาเจียน
ยอดอ่อน ดอกและลูกขจรอ่อนๆ ยังนำมาดัดแปลงทำอาหารได้มากมาย ที่ง่ายที่สุดคือ ลวกให้สุก
หรือต้มกะทิกับน้ำพริก
ขยับขึ้นไปก็คือ
ดอกขจรผัดขจรผัดน้ำมันไข่เจียวดอกขจร
ทำแกงจืดใส่เต้าหู้ ใส่แกง
ฯลฯ ดอกขจรสุกง่าย เมื่อนำไปผัดหรือใส่แกงจืดแกงเผ็ดจึงเหมาะจะเป็นเครื่องปรุงที่ใส่เป็นลำดับสุดท้าย เพราะได้ทั้งขนาดความสุกกำลังดี และสารอาหารใกล้เคียงที่มีอยู่เดิม
คนที่อยากลดน้ำหนัก อย่าอร่อยกับดอกขจรมากเกินพอดี เพราะดอกขจรเป็นผักที่ให้พลังงานสูงยิ่ง กินดอกขจรต้มกะทิมันๆ ยิ่งหายห่วง
อย่าเข้าใจผิดละว่า กินดอกขจรแล้วต้องอ้วน นี่แค่สะกิดเตือนไว้ก่อนเท่านั้นเอง เพราะอย่างไรเสียก็ยังเชียร์ให้กินกันบ่อยๆ เพราะเป็นผักดีมีประโยชน์ ถึงแม้ให้พลังงานสูง
แต่ก็เป็นพลังงานที่ได้มาจากโปรตีนของพืชโปรตีนทั้งพืชผัก และจากสัตว์
เป็นสิ่งที่เราต้องการควบคู่กัน
นอกจากจากนี้ดอกขจรยังมีวิตามินสำคัญ
ทั้ง เอ บี ซี
และธาตุครบถ้วนพกไว้ทุกดอก
ได้กลิ่นดอกขจรรวยรินมาในยามเย็นเมื่อไหร่ สูดเข้าไปให้เต็มปอด เพราะนี่คือกลิ่นแห่งคุณค่าที่เปี่ยมพลังทั้งความเป็นดอกไม้สวยและผักอร่อย
อย่าเผลอสูดๆ
ไปแล้วน้ำลายไหล
ให้ใครเห็นเข้าก็แล้วกัน
ชื่อผัก: ขจร
ชื่อวิทยาศาสตร์: Telosma minor Craib.
วงศ์: Asclepiadaceae
กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย .2535
ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้
100 กรัม
|
|||
พลังงาน
|
โปรตีน
|
ไขมัน
|
คาร์โบไฮเดรต
|
กิโลแคลอรี
|
กรัม
|
||
72
|
5
|
1.1
|
10.5
|
ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม
|
||||||
แคลเซียม
|
ฟอสฟอรัส
|
เหล็ก
|
วิตามินบี 1
|
วิตามินบี2
|
ไนอาซิน
|
วิตามินซิ
|
มิลลิกรัม
|
||||||
70
|
90
|
1
|
0.1
|
0.1
|
1.5
|
45
|
ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม
|
|
เบต้า-แคโรทีน
|
ใยอาหาร
|
RE
|
กรัม
|
_
|
_
|
กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย .2535
RE ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
–ไม่มีการวิเคราะห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น